รีวิวหนังสือ The 8 Motivational Challenges

เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ แต่เนื้อหาอัดแน่น ว่าด้วยแรงจูงใจพื้นฐานของแต่ละคน ซึ่งแตกต่างกันไป การทำงานร่วมกันหรือการพัฒนาบุคลากรจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น หากเราเข้าใจแรงขับพื้นฐานเหล่านี้

หนังสืออ้างอิงงานวิจัยมากมาย แต่สรุปเนื้อหาไว้อย่างกระชับ อ่านเพลิน เหมาะสำหรับหัวหน้างาน HR รวมถึงผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจคนรอบตัว

.

หนังสือแบ่งแรงจูงใจพื้นฐานออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้

1) ด้าน Mindset

หนังสือบอกว่า Mindset สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ คือ Be Good และ Be Better

• Be Good: คนที่มีแนวคิดแบบนี้จะมองว่าสิ่งต่าง ๆ ต้องทำให้ออกมาดี โดยมองโลกเป็นขาวดำระหว่าง “ทำได้” กับ “ทำไม่ได้” คนแบบนี้มักเน้นพิสูจน์ความสามารถให้ผู้อื่นยอมรับ

• Be Better: คนที่มีแนวคิดแบบนี้จะเชื่อว่าความสามารถพัฒนาได้เรื่อย ๆ โดยเน้นเปรียบเทียบกับตัวเองเพื่อให้ดีขึ้น

ข้อสังเกต:

หนังสือชี้ว่าแนวคิดแบบ Be Good อาจนำไปสู่ความกังวลใจและการล้มเลิกได้ง่าย เพราะการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ส่วนแนวคิดแบบ Be Better ซึ่งคล้ายกับ Growth Mindset จะช่วยให้มองปัญหาเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

2) ด้าน Focus

โฟกัสหรือมุมมองต่อเหตุการณ์สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ Promotion และ Prevention

• Promotion Focus: คนที่ชอบมองหาโอกาส ก้าวไปข้างหน้า และสนใจในสิ่งที่จะได้ (Gain) พวกเขามักเน้นเป้าหมายและกลัวการสูญเสียโอกาส (Opportunity Loss)

• Prevention Focus: คนที่มองเห็นปัญหาและความเสี่ยงเป็นหลัก มีความรอบคอบ สนใจเรื่องความมั่นคง และเน้นลดการสูญเสีย

ข้อสรุป:

ทั้ง 2 แบบมีข้อดี-ข้อเสียในตัวเอง ไม่มีแบบใดดีกว่าแบบหนึ่ง เราเพียงต้องรู้ว่าตัวเองเป็นแบบไหน และใช้จุดแข็งนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด

3) ด้าน Confidence

ความมั่นใจในศักยภาพของตนเองแบ่งได้เป็น มั่นใจ กับ ไม่มั่นใจ

• ความมั่นใจอาจมาจากประสบการณ์ เช่น ความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่ผ่านมา รวมถึงการสนับสนุนจากคนรอบข้าง

• หนังสือชี้ให้เห็นว่าความมั่นใจต่างจากการมองโลกในแง่ดี เพราะการมองโลกในแง่ดีเกินไป อาจทำให้มองข้ามปัญหาและไม่ได้เตรียมตัว ซึ่งทำให้มีโอกาสที่จะล้มเหลวมากกว่า

.

จะพัฒนาตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างไร?

1) เปลี่ยน Mindset เป็น Be Better

นี่คือสิ่งแรกที่ควรทำ ไม่ว่าจะพัฒนาตัวเองหรือทีมงาน วิธีการปรับ Mindset ได้แก่:

• Reframe Goal: ตั้งเป้าหมายในเชิงการพัฒนา เช่น แทนที่จะตั้งว่า “ฉันจะเป็นหัวหน้าที่ดี” ให้ตั้งว่า “ฉันจะเรียนรู้และฝึกฝนเพื่อเป็นหัวหน้าที่ดี”

• เปลี่ยนมุมมองเรื่องความผิดพลาด: มองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นโอกาสในการเรียนรู้

• เลิกเปรียบเทียบกับคนอื่น: เปรียบเทียบกับตัวเองในอดีตแทน

• อดทนและมองเป็นเกมยาว: ไม่รีบร้อน แต่ค่อย ๆ พัฒนาตัวเอง

• มองหา Role Model: ใช้บุคคลต้นแบบเป็นแรงบันดาลใจ

2) สร้างความมั่นใจให้เหมาะสมกับ Style

• คนที่มี Promotion Focus ควรสร้างความมั่นใจผ่านการลงมือทำจริง (On-the-Job Training)

• คนที่มี Prevention Focus ควรเริ่มจากการเรียนรู้ผ่านข้อมูลและการฝึกอบรม

3) จูงใจให้เหมาะสมกับ Style

• Promotion Focus: กระตุ้นให้มองเห็นโอกาส ความท้าทาย และความคิดสร้างสรรค์

• Prevention Focus: ให้เวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล จัดการความเสี่ยง และอธิบายเหตุผลอย่างละเอียด

.

เป็นหนังสือที่อ่านง่าย แต่ให้มุมมองลึกซึ้งในเรื่องแรงจูงใจและจริตของแต่ละคน ใครสนใจพัฒนาตัวเอง ทีมงาน หรือเข้าใจคนรอบตัว แนะนำให้อ่านครับ

แล้วเพื่อน ๆ คิดว่าตัวเองเป็นแบบไหน? ระหว่าง Promotion กับ Prevention

ส่วนตัวผม พอนั่งคิดดูแล้ว ผมว่าตัวเองน่าจะเป็น Prevention นะ เพราะวัน ๆ เอาแต่ไล่ปิดความเสี่ยง 😂


Leave a comment