รีวิวหนังสือ You’re Not Listening – What You’re Missing and Why It Matters โดย Kate Murphy

เป็นหนังสือที่เพื่อนแนะนำให้อ่านช่วงปีใหม่ครับ พอได้อ่านปุ๊บก็ติดหนึบเลย แบบว่าเขียนเพลินมาก

หนังสือว่าด้วยศาสตร์แห่งการฟังครับว่า การฟังนั้นคืออะไร มีความสำคัญมากกว่าที่เราคิด และที่สำคัญ คนเขียนบอกว่า ทักษะการฟังนี้กำลังจะหายไปในยุค Social Media

เล่มนี้ผมว่าเหมาะกับทุกคนเลยนะ เพราะสามารถนำมาปรับใช้ได้ทั้งการทำงาน ชีวิตครอบครัว และเรื่องอื่น ๆ ทั่วไป

1. การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) เป็นทักษะที่ถูกละเลย

การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) เป็นทักษะสำคัญ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจเท่ากับการพูด การเขียน หรือการนำเสนอ ทั้งนี้เพราะการฟังมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน เช่น ความเป็นผู้นำ การให้คำปรึกษา การโน้มน้าวใจ และการขาย


หนังสือยกตัวอย่างที่ผมไม่เคยเอ๊ะมาก่อนเลยคือ ตาเนี่ยเราปิดไม่มองได้ ปากเราก็สามารถปิดไม่ให้พูดได้เหมือนกัน แต่หูเนี่ย ธรรมชาติกลับมาให้ถึง 2 อัน แถมปิดไม่ได้ด้วย แปลว่าการฟังเนี่ยอาจจะมองได้ว่ามีความสำคัญบางอย่างกับมนุษย์จริง ๆ


แต่ว่า Social Media และเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้เราหมกมุ่นกับการสื่อสารออกไปมากกว่าการรับฟัง สังคมทุกวันนี้ยกย่องคนที่พูดเก่ง เช่น ไลฟ์สดได้นาน ๆ คนที่สังคมยกย่องมักได้รับเชิญไป พูดบทเวทีต่าง ๆ

2. ปัญหาของสังคมที่ไม่ฟังกัน

หนังสือบอกว่า ผู้คนในปัจจุบันมักพูดคุยแบบ บทสนทนาของคนหูหนวก” คือต่างคนต่างพูด ไม่มีใครตั้งใจฟัง อีกทั้งมนุษย์มีแนวโน้มให้ define ourselves มากกว่าที่จะ absorb information ซึ่งการไม่ฟังกันนำไปสู่ความโดดเดี่ยวและปัญหาสุขภาพจิต
และในโลกที่คนไม่ฟังกัน การฟังเป็นของขวัญที่ให้ผู้อื่นโดยไม่ต้องเสียเงิน

3. การฟังที่ดีเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน

ทุกวันนี้มีคนสอนเรื่องทักษะการฟังเต็มไปหมด เช่น พยักหน้า ไม่ขัด ไม่ตัดสิน หนังสือบอกว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่า หลายครั้งการฟังมันกลายเป็นแค่รูปแบบ ที่ไม่ใช่การฟังจริง ๆ

การฟังจริง ๆ คือต้องมีความอยากรู้ (Curiosity) และความถ่อมตัว (Humility) คือสองคำนี้ผมว้าวมากเลยนะ เฮ้ยมันจริงแล้ว

ผู้เขียนระบุว่า อย่าทำสิ่งเหล่านี้” ได้แก่ ขัดจังหวะ, ตอบกลับอย่างไม่ตรงประเด็น, มองไปที่โทรศัพท์หรือสิ่งรอบตัว และอยู่ไม่นิ่ง เช่น เคาะโต๊ะ หรือขยับตัวบ่อย

4. วิทยาศาสตร์ของการฟัง

หนังสือเล่าถึงการทดลองต่าง ๆ เช่น สมองของผู้พูดและผู้ฟังสามารถ “ซิงค์” กันได้เมื่อมีการฟังที่ดี นำไปสู่ความเข้าใจระหว่างกัน คนที่ได้รับการฟังตั้งแต่วัยเด็กมักจะโตเป็นผู้ฟังที่ดีในอนาคต และที่สำคัญฟังไม่ใช่แค่หู การฟังที่ดีต้องใช้ภาษากายและอารมณ์ร่วมด้วย

5. อุปสรรคของการฟัง

มีหลายเรื่องครับ เช่น การใช้สมาร์ทโฟนทำให้เวลาที่คนใช้ฟังกันลดลงจาก 42% เหลือ 24% คนที่อยู่ด้วยกันนาน ๆ ความสัมพันธ์ระยะยาวมักเลิกฟังกันเพราะคิดว่า “รู้อยู่แล้ว”, Confirmation Bias ทำให้เราฟังเฉพาะสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดเดิม และคนฉลาดมักฟังแย่กว่าคนทั่วไป เพราะคิดว่าตัวเองรู้แล้ว


หนังสือยกประเด็นนึงที่ผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน ของปัญหาการฟังในยุค Big Data ที่เรามีแนวโน้มไปวิเคราะห์ data ต่าง ๆ มากกว่าไป “นั่งฟัง” ลูกค้าจริง ๆ และประเด็นที่ซับซ้อนต่าง ๆ ถูกตีตราเหลือแค่ ดี กับไม่ดี

6. การฟังที่แท้จริงต้องมาพร้อมกับ คำถามที่ดี” และความเงียบ

Carnegie เคยกล่าวไว้ว่าทุกคนเป็นคนที่น่าสนใจ ถ้าคุณถามคำถามที่ถูกต้อง” ซึ่งคำถามเปิดช่วยให้บทสนทนาลึกซึ้งขึ้น เช่น วันนี้คุณเรียนรู้อะไร?” หรือ อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดในวันของคุณ?” เป็นคำถามปลายเปิดให้คนพูดได้สำรวจตัวเอง และสะท้อนมุมมองและประสบการณ์ ซึ่งคำถามแนวนี้ใช้กับลูก ๆ ได้เช่นกันกัน คือแทนที่จะถามลูกว่า โรงเรียนเป็นยังไง?” ให้ถามว่า วันนี้ได้เรียนรู้อะไร?” หรือ วันนี้มีอะไรตื่นเต้นบ้าง?”


ทั้งนี้เราต้องรู้จักใช้ความเงียบให้เป็น เพราะการเว้นจังหวะช่วยให้การสนทนาลึกซึ้งขึ้นและลดความกดดันของผู้พูด

.

ส่วนตัวผมว่าหนังสือเขียนสนุก อาจเป็นเพราะเนื้อหาในหนังสือบางเรื่องไม่ได้ใหม่มาก และผมมองว่า บางส่วนอาจกระชับได้มากกว่านี้
แต่ส่วนที่ชอบคือ การทดลอง และตัวอย่างต่าง ๆ ที่หนังสือยกมาให้อ่าน หลาย ๆ อันก็ดีมาก แบบว่าจะจำไปใช้บ้าง


Leave a comment