
ผมเพิ่งอ่านหนังสือเรื่อง Never Enough ของ Jennifer Breheny Wallace จบไปครับ แบบว่าอ่านแล้วสะท้อนใจมาก 555
หนังสือว่าด้วยสังคมของเรายุคนี้ครับ ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ “ความสำเร็จ” เราต่างมุ่งหาความสำเร็จกันเหลือกัน จนทำให้บางครั้งก็เหมือนกับว่า ความสำเร็จนั้นไม่เคยพอ ได้สิ่งนี้แล้วก็ต้องได้อีก ไขว่คว้าทำต่อไปเรื่อยๆ
ซึ่งมีผลกระทบมากต่อเด็กๆ ลูกหลานของเราครับ
เราห่วงใยลูกหลาน อยากให้ลูกหลานมีอนาคตที่ดี แต่บางครั้งเราก็กดดันเด็ก ๆ ของเราไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเรากลัวว่า ถ้าลูกเราไม่ประสบความสำเร็จอะไรในวัยนี้ โตขึ้นจะเป็นยังไง แข่งขันได้ไหม ลูกเพื่อนเขาทำโน่นทำนี่ได้ ลูกเราก็น่าจะต้องทำได้บ้าง เกิดเป็นความกดดันโดยไม่รู้ตัวของทั้งพ่อแม่และตัวเด็ก ๆ เอง
หนังสือบอกว่า มันเป็นแสสังคมในยุคนี้ครับ ที่หนังสือเรียกว่า วัฒนธรรมการแสวงหาความสำเร็จ Achievement Culture แต่ก็อาจมากเกินไปจนกดดัน หรืออาจเรียกว่า Toxic
.
1. Achievement Culture คืออะไร?
• Achievement Culture คือการให้ความสำคัญกับการประสบความสำเร็จในเชิงผลลัพธ์ เช่น การเรียนเก่ง การเป็นที่หนึ่งในทุกกิจกรรม แข่งอะไรก็ตั้งได้ถ้วยได้โล่ หรือการได้รับการยอมรับจากสังคม
• หนังสือบอกว่า วัฒนธรรมนี้ส่งผลให้เด็ก ๆ มองว่าคุณค่าของตนเองขึ้นอยู่กับผลลัพธ์หรือการได้รับการยอมรับจากคนอื่น ไม่ใช่มาจากตัวตนของเขา
• ปัญหาคือ เมื่อความสำเร็จกลายเป็นเป้าหมายหลัก เด็ก ๆ จะรู้สึกว่า “ไม่พอ” หรือ “ไม่มีคุณค่า” หากพวกเขาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น
.
2. ทำไม Achievement Culture ถึง Toxic?
• Achievement จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้แย่นะ การทำอะไรแล้วมุ่งหวังความสำเร็จมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา แต่หนังสือบอกว่าปัญหาจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ นิยามของความสำเร็จนั้นแคบเกินไป เช่น ความสำเร็จคือต้องได้ที่ 1 ต้องชนะเท่านั้น หรือเรียกง่าย ๆ คือ สนใจผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ
• เมื่อนิยามของความสำเร็จมันแคบ มันก็จะทำให้เกิดความเครียด ความกดดัน วิตกกังวล รวมถึงการสูญเสียตัวตน มองข้ามคุณค่าในตัวเอง เช่น ความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์ที่ดี แบบนี้
• นอกจากนี้หนังสือยังบอกว่า อีก key หนึ่งที่สร้าง toxic คือการเปรียบเทียบ เช่นการเปรียบเทียบกับเพื่อนหรือคนอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า ส่งผลให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ เสียความมั่นใจ
• แต่ที่สำคัญอีกอันหนึ่งคือ การแข่งขัน หรือไล่ล่า Achievement นี้ มันไม่เคยมีที่สิ้นสุด ได้รางวัลนี้แล้ว ต้องได้รางวัลอื่นที่ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือ เล่นดนตรีได้ดีแล้ว ก็ต้องเล่นกีฬาด้วย แบบนี้
• มีข้อสังเกตหนึ่งในหนังสือที่น่าสนใจคือ ความกดดันนี้มักเกิดในชนชั้น upper middle class ที่มุ่งหวังให้ลูกตัวเองประสบความสำเร็จในอนาคต เลยกดดันให้ลูกทำโน่นนั่นนี่ตั้งแต่เด็ก ๆ ต่างจากชนชั้นอื่นที่ไม่มีความกดดันนี้เท่า
.
3. ผลที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ใน Toxic Achievement Culture
• การแข่งขันที่ไม่มีวันสิ้นสุดทำให้เด็ก ๆ รู้สึกเครียดและไม่มีความสุข ไม่สามารถผ่อนคลายหรือสนุกกับชีวิตได้ ซึ่งนำไปสู่ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า หนังสือบอกว่า มีการศึกษาพบว่า เด็ก ๆ ในชนชั้น upper middle class เริ่มพบอาการแบบนี้มากขึ้น
• เมื่อเด็ก ๆ ถูกสอนให้เชื่อว่าพวกเขาจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อประสบความสำเร็จ พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าถ้าทำไม่ได้ตามที่คาดหวัง
• การแข่งขันที่หนักเกินไปมักทำให้เด็ก ๆ ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับเพื่อนหรือครอบครัว ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเน้นแข่งขันมาก ๆ ก็จะมองเด็กคนอื่นเป็นคู่แข่ง ไม่ใช่เพื่อนวัยเดียวกันที่ชอบงานอดิเรกเดียวกัน
.
4. การสร้างความรู้สึก “มีคุณค่า” (Mattering) ให้กับเด็กๆ
• Mattering คือการรู้สึกว่าเราเป็นที่ยอมรับและมีคุณค่าในตัวเองไม่ใช่แค่จากการประสบความสำเร็จ
• ผู้ปกครองต้องทำให้เด็ก ๆ รู้สึกว่า “พวกเขามีค่า” แม้ว่าจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งในทุก ๆ ด้าน บางด้านเขาอาจจะธรรมดา หรือก็เก่งแบบปกติในทุกด้าน ลูกเราก็มีค่าได้ เป็นคนที่มีความสุขได้
• การสอนให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าความรักและการยอมรับของพ่อแม่ไม่ขึ้นอยู่กับผลการเรียนหรือความสำเร็จจะช่วยสร้างความมั่นใจและป้องกันปัญหาทางจิตใจ
• พ่อแม่ต้องดูแลตัวเองก่อนลูก ทำใจร่ม ๆ ตั้งหลักให้มั่น ๆ ไม่หวั่นไหวไปกับกระแส Achievement Culture หนังสือบอกว่า พ่อแม่หลายคนก็อดหวั่นไหวไม่ได้นะ เห็นลูกเพื่อนทำโน่นทำนี่ ได้โน่นแล้วนี่ แล้วเป็นห่วงลูกตัวเองว่าทำไมไม่เห็นเหมือนเขาเลย
• ให้เด็กได้ส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสังคมบ้าง คือให้เขาได้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว จะช่วยให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าได้
.
5. การมุ่งเน้นการพัฒนาในทางที่แท้จริง
• อย่างที่บอกว่า ปัญหาหนึ่งมันเริ่มมาจากที่เรามีนิยามของความสำเร็จที่แคบเกินไป ลองการกำหนดนิยามของความสำเร็จใหม่ สนับสนุนให้เด็ก ๆ มองความสำเร็จในรูปแบบที่หลากหลาย พ่อแม่ไม่ได้สนใจแค่การเรียนเก่งหรือทำกิจกรรมให้ดีที่สุด
• เด็ก ๆ ควรได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม เช่น การทำงานร่วมกัน การเรียนรู้จากความล้มเหลว และการเห็นคุณค่าของตัวเองในมุมมองที่กว้างขึ้น เช่น ได้เรียนรู้ ได้เก่งขึ้นจากเมื่อวาน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วนะ
.
ก็เป็นหนังสือที่ดีนะ เหมาะกับคนเป็นพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกในยุคนี้ พวกเราทุกคนอยากให้ลูกของเราได้ดีกันทั้งนั้นแหล่ะ แต่หนังสือชวนให้เรามองย้อนดูตัวเองว่าเผลอติดกับดักของสิ่งที่เรียกว่า Achievement จนอาจไปกดดันหรือไม่
Achievement ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีนะ มันก็ดีในหลายแง่ เช่น วัดความสามารถเป็นต้น แต่ Achievement ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต… แค่นั้นเองครับ
